[รีวิว:เที่ยวจีน] Let's Go Yunnan Day 3 : ภูเขาหิมะมังกรหยก ทิวทัศน์สุดอลังการ <เที่ยวจีนด้วยตัวเอง 6วัน5คืน แบบพูดจีนไม่ได้>

วันนี้พวกเรามีนัดตอน 9 โมงเช้าเพื่อไปภูเขาหิมะมังกรหยก ก็เลยสามารถตื่นสายได้นิดหน่อย หลังจากทำธุระส่วนตัวกันเสร็จ ก็ทานโจ๊กคัพที่พกมาเผื่อจากไทย และก็จัดกระเป๋ามาฝากไว้พร้อมเชคเอาท์ หลังจากนั้นที่พักจะมีคนพาเราเดินไปยังจุดนัดพบ เพื่อขึ้นรถไปเที่ยวกัน

รถที่มารับเป็นรถตู้ พวกเราได้ขึ้นรถเป็นคู่แรก หลังจากนั้นคนขับรถก็แวะรับลูกทัวร์คนอื่นๆ และเสื้อโค้ดกับออกซิเจนกระป๋องระหว่างทาง นอกจากพวกเราแล้วมีลูกทัวร์อีก 6 คน ซึ่งทั้งหมดเป็นคนจีน แต่มีคู่เพื่อนที่ยังเรียนอยู่มาเที่ยวด้วยกันที่พอสื่อสารภาษาอังกฤษได้นิดหน่อยคอยช่วยสื่อสารให้ ทำให้การเที่ยววันนี้ราบรื่นขึ้นอีกเยอะเลย
เมื่อรับคนครบแล้วก็ได้เวลาเดินทาง ระหว่างทางที่ทาง ภูเขาหิมะมังกรหยกก็จะเริ่มเผยความงดงามให้เห็น อีกทั้งยังมีวิธีชีวิตของชาวท้องถิ่นอีกด้วย
เมื่อมาถึงทางเข้าอุทยานมีรถต่อคิวยาวมาก ตอนแรกคิดว่ากว่าจะได้เข้าน่าจะอีกนานมากแน่ๆ แต่ว่าคนขับรถก็ขับไปเข้าช่องพิเศษทำให้เข้าได้เร็ว และรถก็มาจอดแวะให้ถ่ายรูปภูเขาหิมะมังกรหยกจากด้านล่าง ซึ่งอยู่ที่ความสูง 3,100 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล จะเป็นลานดินมีป้ายหินบอกความสูงอยู่ และด้านหลังเป็นป่าและวิวภูเขาหิมะมังกรหยก
เรียกได้ว่าแค่มาถึงจุดแรกก็ประทับใจกับฉากที่เห็นสุดๆ ภาพที่ได้ราวกับเป็นภาพวาดกันเลยทีเดียว หลังจากแวะให้ถ่ายรูปอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมงก็ได้เวลาเดินทางต่อ นั่งรถได้ซักพักรถก็มาจอดที่ลานจอดรถและคนขับรถก็แจกเสื้อโค้ดและออกซิเจนกระป๋อง และให้พวกเราเข้าห้องน้ำและรออยู่แถวทางเข้าที่ขึ้นเคเบิ้ลคาร์ แล้วคนขับรถก็ไปซื้อตั๋วมาให้พวกเรา
พวกเรารอตั๋วกันอยู่ค่อนข้างนานมากจนคนจีนที่มาทัวร์เดียวกันยังบ่น แต่ในที่สุดคนขับรถก็มาบอกเรื่องการปฏิบัติตัวบนเขาและการใช้ออกซิเจนกระป๋อง แต่พวกเราสองคนก็ฟังไม่ออก สุดท้ายก็ได้คู่เพื่อนที่พอได้ภาษาอังกฤษได้นิดหน่อยก็ใช้แอพแปลภาษาช่วยอธิบายเรื่องสำคัญๆให้ สรุปได้ว่าเมื่อขึ้นไปข้างบนเวลาเดินถ้าเหนื่อยให้นั่งพักแล้วหายใจเข้าออกลึกๆ และเวลาใช้ออกซิเจนกระป๋องให้สูดทางจมูกอย่าใช้ปาก สุดท้ายก็ให้แอดกรุ๊ป wechat เพื่อติดต่อกัน

พออธิบายเรื่องต่างเสร็จก็ให้พวกเราไปต่อแถวเพื่อขึ้นรถไปขึ้นเคเบิ้ลคาร์ซึ่งคนเยอะมากๆ ระหว่างนั้นคนขับรถก็เอาพาสปอร์ตของพวกเราไป น่าจะเพื่อทำเรื่องซื้อตั๋ว ระหว่างต่อแถวคนขับรถก็ให้ตั๋วพร้อมพาสปอร์ตมาให้ และผ่านช่องตรวจตั๋วเข้ามารอรถต่อในห้อง ในห้องจะแบ่ง 2 ห้องย่อย ซึ่งเจ้าหน้าที่จะนับคนเพื่อให้รอขึ้นรถต่อไป ออกจากห้องแล้วก็ต้องไปเข้าแถวขึ้นรถเพื่อไปขึ้นเคเบิ้ลคาร์ ต้องขอบคุณเพื่อนใหม่ชาวจีนทั้งสองคนของเรานั้นดูแลพวกเราอย่างดีทำให้ไม่ให้หลงทาง
เมื่อลงจากรถก็ต้องจะเป็นช่องเข้าคิวอีกครั้ง เพื่อเข้าสถานีเคเบิ้ลคาร์ ซึ่งที่ทางขึ้นอยู่ที่ระดับความสูง 3,356 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ตรงนี้มีขายสนีกเกิลด้วย แต่พวกเราพกมาจากไทยระหว่างรอก็ทานแก้หิวไปก่อน เพราะกว่าจะมาถึงตรงนี้ก็เที่ยงกว่าเข้าไปแล้ว และในที่สุดพวกเราก็ได้ขึ้นเคเบิ้ลคาร์
พอถึงข้างบนก่อนออกนอกตัวอาคารสถานีก็เจอคนอาเจียน น่าจะเป็นอาการจากการแพ้ที่สูง ซึ่งระดับความสูงอยู่ที่ 4,506 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ตอนนั้นก็คิดว่าพวกเราจะรอดไหม พอออกจากส่วนของอาคารสถานนี ก็จะพบกับภูเขาหิมะ ซึ่งช่วงเวลานี้หิมะจะไม่คลุมเต็มพื้นที่ทั้งหมก แต่พื้นที่ส่วนใหญ่ก็ยังมีหิมะปกคลุมอยู่ โดยพอมาถึงตรงนี้คนในกรุ๊ปก็แยกกันเที่ยว ส่วนพวกเราเดินไปกับเพื่อนใหม่ชาวจีนสองคน
อากาศข้างบนค่อนข้างหนาวมากโดยเฉพาะเวลาลมพัด โชคดีที่มีเสื้อโค้ดที่แจกมา ถึงสีสันและแบบจะไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่ แต่เรื่องกันความหนาวนี่สามารถช่วยพวกเราได้มากเลยทีเดียว
พวกเราค่อยๆเดินขึ้นไปตามทาง เดินไปได้ไม่เยอะก็เหนื่อย ข้างบนนี้เดินไปได้นิดหน่อยก็เหนื่อย ต้องนั่งพักเป็นระยะๆ ใช้ออกซิเจนกระป๋องและทานสนีกเกิ้ลช่วย ซึ่งพอพักได้ซักพักก็จะดีขึ้น เนื่องจากพวกเราสองคนเดินได้ค่อนข้างช้า เลยแยกกันกับเพื่อนชาวจีนทั้งสองคน แล้วมาค่อยเดินเที่ยวกันเอง พวกเราเดินไปอย่างช้าๆ และก็ขึ้นไปไม่ได้สูงมาก
พวกเรามาสูงสุดที่แถวๆระดับความสูงแถว 4,576 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ซึ่งเป็นความสูงที่พวกเรามาได้ไกลสุดแล้ว แต่ถ้าหากว่าใครร่างกายยังไหวและมีเวลาอยากไปต่อ ที่นี่จะมีทางเดินถึงที่ระดับความสูง 4,680 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล สำหรับพวกเรายังไม่อยากฝืนร่างกายไปมากกว่านี้ ยังมีโปรแกรมเที่ยวต่ออีกหลายวัน
พวกเราเดินเที่ยวอยู่ข้างบนประมาณ 2-3 ชั่วโมง ระหว่างที่พวกเราเดินกลับไปยังลานหน้าสถานีเคเบิ้ลคาร์ เพื่อนชาวจีนของพวกเราก็ส่ง wechat มาตามให้กลับมารวมกลุ่มกัน แล้วพวกเราทั้งกรุ๊ปก็กลับลงมาจากภูเขาหิมะ แล้วก็ต่อรถบัสของอุทยาน ซึ่งมีอยู่สองช่อง ซึ่งช่องที่พวกเรารอขึ้น คือ รถไป Blue-moon Valley พอเราลงจากรถของอุทยาน คนขับรถเมื่อเช้าก็มารับให้พวกเราไปทานอาหารกลางวัน ที่ได้ทานตอนสี่โมงเย็น เมนูเป็นหม้อไฟ ดูตอนแรกไม่ค่อยน่าทานเท่าไหร่ แต่พอทานไปแล้วรสชาติถือว่าโอเคเลย ไม่รู้ว่าเพราะอร่อยจริงๆหรือว่าหิวกันแน่
หลังจากทานเสร็จก็เกือบๆห้าโมงแล้ว จนพวกเรานึกว่าจะไม่ได้ไป Blue-moon Valley แล้ว แต่สุดท้ายก็ได้ไป พอลงจากรถคนขับรถน่าจะนัดหมายอะไรซักอย่าง แต่พวกเราฟังไม่ออก สุดท้ายพวกเราก็เดินเที่ยวที่ Blue-moon Valley โดยระหว่างเที่ยวก็มองคนในกรุ๊ปทัวร์ไปด้วยเป็นระยะ จะได้ไม่หลง
ถึงแม้ว่ากว่าพวกเราจะมาถึงก็ห้าโมงกว่าๆแล้วแต่ว่าฟ้าก็ยังไม่มืด ช่วงที่พวกเราไปเที่ยวกลางเดือนเมษายนที่ลี่เจียวกว่าท้องฟ้าจะมืดก็เกือบๆสองทุ่ม ดังนั้นห้าโมงกว่าๆก็ยังเที่ยวได้สบายๆ
Blue-moon Valley เป็นอะไรที่ประทับใจมาก เหนือความคาดหมายสุดๆ น้ำใสสีฟ้า มีแบล็กกราวน์เป็นภูเขาหิมะ มองไปทางไหนก็สวยมาก ภาพถ่ายออกมาเหมือนภาพวาดเลย สวยจนมีคนมาถ่ายพรีเวดดิ้งกันอยู่หลายคู่เลยทีเดียว ใครที่มาเที่ยวภูเขาหิมะมังกรหยกก็อย่าพลาดที่นี่ด้วยเช่นกัน
พอเที่ยวเสร็จคนในกรุ๊ปก็มารวมกัน คนจีนก็โทรหาคนขับรถบอกตำแหน่งให้มารับ ก่อนรถมาถึงซักพักฝนก็เริ่มตก ระหว่างทางที่นั่งรถกลับภูเขาก็โดนเมฆบังเกือบหมด เรียกได้ว่าพวกเราโชคดีมากที่ตอนเที่ยวไม่เจอฝน และเมฆไม่บังภูเขาหิมะ ขากลับรถก็มาส่งเราที่หน้าทางเข้าเมืองโบราณใกล้ๆที่พัก

พวกเราก็กลับมาเอากระเป๋าและเข้าห้องน้ำที่ที่พัก ส่วนคืนนี้พวกเราจะนอนบนรถไฟกลับคุนหมิง โดยขากลับนี้พวกเรานั่งแท็กซี่​จากหน้าถนนใหญ่ เอารูปสถานีรถไฟให้คนขับดู ส่วนราคาคิดตามมิเตอร์ 36 หยวน
พวกเรามาถึงสถานีรถไฟประมาณสองทุ่ม ระหว่างเดินเข้ามาเห็นร้านอาหารและขนมอยู่หลายร้านหน้าสถานีเลยไปสั่งมาทานกัน ขนมที่เราทานคล้ายๆโรตีแต่มีไส้อยู่ข้างใน รสชาติค่อนข้างอร่อยเลย
ที่สถานนีลี่เจียงคนน้อยกว่าที่คุนหมิง และก็ยังเหลือเวลาค่อนข้างมาก พวกเราเลยล้างหน้าแปรงฟันเตรียมพร้อมนอน ขากลับเราใช้รถไฟขบวน K9684 ลี่เจียง-คุนหมิง เป็นขบวนรถไฟข้ามคืนออกจากลี่เจียงตอน 22.03 น. ที่นอนแบบ Soft Sleeper เหมือนกับขามา
แต่ว่ารถไฟรอบนี้เป็น 2 ชั้น เราได้เดินขึ้นไปดูชั้นบน ดูจากห้องแล้วคิดว่าน่าจะเป็นห้องสำหรับที่นอนประเภท Deluxe Soft Sleeper เป็นห้องนอนสำหรับ 2 คน น่าเสียดายที่ตอนจองเราไม่เห็นที่นอนประเภทนี้ นอกจากความเป็นส่วนตัวแล้ว คิดว่าเสียงรถไฟวิ่งน่าจะดังน้อยกว่าชั้นล่างที่พวกเรานอนด้วย
สำหรับเพื่อนร่วมห้องเราไม่ได้ขึ้นจากลี่เจียง คิดว่าน่าจะขึ้นจากต้าหลี่ เพราะพวกเราหลับไปก่อนเลยไม่รู้ว่าพวกเขาขึ้นมาจากไหน พอได้ยินเสียงตอนขึ้นอยู่บ้าง แต่เพราะง่วงเลยไม่ได้สนใจ แต่หลังจากนั้นพวกเราแทบไม่ได้นอนเลย เพราะนอกจากเสียงรถไฟแล้วยังมีเสียงกรนของเพื่อนร่วมห้องอีกด้วย

ในวันรุ่งขึ้นพวกเราเที่ยวกันในเมืองคุนหมิง สามารถติดตามการเที่ยวในวันที่สี่ของการเดินทางครั้งนี้ได้ที่ Day 4 : คุนหมิง เมืองเอกของมณฑลยูนนาน

<><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><><>
สามารถติดตามตอนอื่นๆของ [รีวิว:เที่ยวจีน] Let's Go Yunnan <เที่ยวจีนด้วยตัวเอง 6วัน5คืน แบบพูดจีนไม่ได้> ได้ที่
Let's Go Yunnan Day 0 : เตรียมตัวก่อนเดินทาง
Let's Go Yunnan Day 1 : บินตรงสู่คุนหมิง-รถไฟนอนไปลี่เจียง
Let's Go Yunnan Day 2 : เมืองโบราณลี่เจียง มนต์เสน่ห์เมืองมรดกโลก
Let's Go Yunnan Day 3 : ภูเขาหิมะมังกรหยก ทิวทัศน์สุดอลังการ
Let's Go Yunnan Day 4 : คุนหมิง เมืองเอกของมณฑลยูนนาน
Let's Go Yunnan Day 5 : ผู่เจ่อเฮย ตามรอยสามชาติสามภพป่าท้อสิบหลี่

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น